rcbo กับ rccb ต่างกันอย่างไร

ความปลอดภัยทางไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการติดตั้งระบบไฟฟ้า เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าช็อตและอัคคีภัย อุปกรณ์ป้องกันทางไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงเหล่านี้ วันนี้เราจึงนำข้อมูลที่น่าสนใจของตัว RCCB กับ RCBO หรือ Residual Current Circuit Breakers (RCCBs) และ Residual Current Circuit Breakers with Overcurrent protection (RCBOs) มาเปรียบเทียบอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจถึงคุณลักษณะที่แตกต่างกันของทั้งสองอุปกรณ์

เบรกเกอร์กันดูด rccb

ทำความรู้จัก RCCB คือ 

เริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักกับ Residual Current Circuit Breaker (RCCB) หรือ ที่เรียกกันทั่วไปว่าเบรกเกอร์ตัดไฟรั่ว เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยทางไฟฟ้าที่ออกแบบมา เพื่อตรวจจับและตัดวงจรไฟฟ้าทันทีเมื่อเกิดกระแสไฟรั่วลงดิน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดไฟฟ้าช็อตได้ หน้าที่หลักของ RCCB คือ การป้องกันบุคคลจากอันตรายจากไฟฟ้าช็อตที่อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสโดยตรงหรือโดยอ้อมกับชิ้นส่วนที่มีไฟฟ้า หรือจากอุปกรณ์ที่ชำรุด 

การเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ RCCB ในการป้องกันการถูกไฟฟ้าดูดจากแหล่งข้อมูลต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นพื้นฐานด้านความปลอดภัยในการติดตั้งระบบไฟฟ้า ในสถานการณ์ที่พิจารณาว่าการป้องกันกระแสไฟรั่วลงดินเท่านั้นที่จำเป็น RCCB จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญ

หลักการทำงานของ RCCB แบบเข้าใจง่าย

RCCB (Residual Current Circuit Breaker) ทำงานโดยอ้างอิงจาก กฎของเคอร์ชอฟฟ์ (Kirchhoff’s Current Law) ซึ่งกล่าวว่า กระแสไฟที่ไหลเข้าและไหลออกจากจุดใดจุดหนึ่งต้องมีค่าเท่ากัน

  1. ภาวะปกติ
    ในสภาพปกติ กระแสที่ไหลผ่านสายไฟ (Live) และสายศูนย์ (Neutral) จะมีค่าเท่ากันแต่ทิศทางตรงข้ามกัน
  2. เมื่อเกิดไฟรั่ว
    หากเกิดไฟรั่ว เช่น มีคนเผลอสัมผัสสายไฟที่มีกระแสอยู่ กระแสบางส่วนจะไหลลงดินผ่านร่างกาย หรืออาจมีการรั่วไหลผ่านฉนวนไฟฟ้าที่เสียหาย ทำให้เกิด กระแสตกค้าง (Residual Current) ซึ่งหมายความว่ากระแสไฟขาเข้าและขาออกไม่สมดุลกัน
  3. กลไกการตัดไฟ
    เมื่อ RCCB ตรวจพบความแตกต่างของกระแส (Residual Current) ที่เกินค่าที่กำหนด มันจะตัดวงจรไฟฟ้าในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที เพื่อป้องกันไฟดูดและอันตรายอื่น ๆ

ประเภทของ RCCB

RCCB (Residual Current Circuit Breaker) หรือเบรกเกอร์กันไฟรั่ว มีหลายประเภทตามลักษณะการออกแบบและความสามารถในการตรวจจับกระแสไฟ โดยแบ่งหลัก ๆ ออกเป็น 2 แบบ คือ

1. ตามจำนวนโพล (Poles)

  • 2 Pole (2P) ใช้กับระบบไฟฟ้าเฟสเดียว (Single-phase) ต่อกับสายไฟ 2 เส้น ได้แก่ สายไฟ (Live) และสายศูนย์ (Neutral)
  • 4 Pole (4P) ใช้กับระบบไฟฟ้า 3 เฟส (Three-phase) ต่อกับสายไฟ 4 เส้น ได้แก่ สายไฟ 3 เส้น (Live) และสายศูนย์ (Neutral)

2. ตามคุณสมบัติการตรวจจับกระแสไฟ (Tripping Curve)

  • Type AC – ตรวจจับกระแสไฟรั่วที่เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เท่านั้น
  • Type A – ตรวจจับได้ทั้งกระแสสลับ (AC) และกระแสตรงแบบมีพัลส์ (Pulsating DC)
  • Type F – ตรวจจับได้ทั้ง AC, กระแสสลับความถี่สูง (High-frequency AC) และ Pulsating DC
  • Type B – ตรวจจับได้ครบทุกแบบ ทั้ง AC, กระแสสลับความถี่สูง, Pulsating DC และกระแสตรงแบบเรียบ (Smooth DC)

ข้อดีและข้อจำกัดของ RCCB

RCCB มีข้อดีหลายประการ ได้แก่

  • ป้องกันไฟฟ้าช็อตและอันตรายถึงชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5
  • ช่วยป้องกันอัคคีภัยที่เกิดจากกระแสไฟฟ้ารั่วลงดิน 5
  • สามารถตรวจจับกระแสไฟรั่วขนาดเล็กได้ (โดยทั่วไป 5-30 mA) 3
  • มีปุ่มทดสอบเพื่อให้ตรวจสอบการทำงานที่ถูกต้องได้ง่าย 2
  • โดยทั่วไปมีต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่า RCBO 3
  • สามารถใช้ร่วมกับ MCB ที่มีอยู่เพื่อป้องกันกระแสเกินได้

ข้อดีของ RCCB มุ่งเน้นไปที่หน้าที่หลักในการป้องกันกระแสไฟรั่วลงดินด้วยต้นทุนที่อาจต่ำกว่า ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ที่มีการป้องกันกระแสเกินอยู่แล้ว หรือพิจารณาว่ามีความสำคัญน้อยกว่า

ข้อจำกัดของ RCCB ได้แก่

  • ไม่สามารถป้องกันกระแสเกินพิกัดหรือการลัดวงจรได้ต้องใช้ MCB แยกต่างหากเพื่อจุดประสงค์นี้
  • อาจเกิดการตัดวงจรที่ไม่พึงประสงค์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการติดตั้งระบบไฟฟ้าเก่าที่มีกระแสไฟรั่วไหลเล็กน้อยอยู่แล้ว
  • อาจไม่สามารถป้องกันไฟฟ้าช็อตได้เสมอไป หากกระแสไฟฟ้าไม่ได้ไหลผ่านลงดิน (เช่น การสัมผัสระหว่างสายเฟสกับสายนิวทรัล)

ข้อบกพร่องหลักของ RCCB มาจากขอบเขตการป้องกันที่จำกัด ความจำเป็นในการใช้ MCB แยกต่างหากทำให้การติดตั้งมีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจหักล้างต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่าของ RCCB เอง

การใช้งานทั่วไปของเบรกเกอร์ RCCB

  • บ้านพักอาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าช็อตสูง (เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว บริเวณภายนอก) 
  • อาคารพาณิชย์สำหรับการป้องกันวงจรทั่วไป โดยมีการป้องกันกระแสเกินแยกต่างหาก
  • การใช้งานในอุตสาหกรรมที่วงจรเฉพาะต้องการการป้องกันกระแสไฟรั่วลงดิน 4

RCCB ถูกนำมาใช้โดยทั่วไปเพื่อเป็นมาตรการความปลอดภัยขั้นพื้นฐานในการป้องกันไฟฟ้าช็อตในสภาพแวดล้อมต่างๆ การใช้งานมักเน้นไปที่สถานการณ์ที่กระแสไฟรั่วลงดินเป็นข้อกังวลหลัก

การมี RCCB หลายประเภทแสดงให้เห็นว่าการใช้ RCCB ประเภทเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันทางไฟฟ้าที่ครอบคลุม การเลือกประเภทที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของโหลดที่เชื่อมต่อและความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหากเลือกใช้งานทั่วไปในบ้านมักใช้เป็น Type AC หรือ A แต่หากเป็นงานที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เยอะ เช่น อินเวอร์เตอร์ หรือ มอเตอร์ที่มีความถี่สูง ควรเลือกเป็น Type F หรือ B จะสามารถป้องกันไฟรั่วได้ครอบคลุมกว่า 

เบรเกอร์ rcbo

รู้จัก RCBO คือ 

Residual Current Circuit Breaker with Overcurrent protection (RCBO) เป็นอุปกรณ์ที่รวมเอาฟังก์ชันการทำงานของ RCCB และ Miniature Circuit Breaker (MCB) ไว้ในอุปกรณ์เดียว คุณสมบัติหลักของ RCBO คือการให้การป้องกันแบบคู่ ทั้งการป้องกันกระแสไฟรั่วลงดิน (เช่นเดียวกับ RCCB) และการป้องกันกระแสเกิน (ทั้งกระแสเกินพิกัดและการลัดวงจร) การรวมกลไกการป้องกันสองอย่างไว้ในอุปกรณ์เดียวแสดงให้เห็นถึงโซลูชันด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากกว่าการใช้ RCCB เพียงอย่างเดียว ซึ่งสามารถลดความซับซ้อนในการติดตั้งและประหยัดพื้นที่ในแผงควบคุมไฟฟ้าได้

หลักการทำงานของ RCBO แบบเข้าใจง่าย

RCBO (Residual Current Breaker with Overcurrent) ทำงานโดยใช้หลักการของกฎของเคอร์ชอฟฟ์ (Kirchhoff’s Principle) ซึ่งกล่าวว่า กระแสไฟที่ไหลเข้าและไหลออกต้องมีค่าเท่ากัน ถ้ามีความต่างเกิดขึ้นเกินกว่าค่าที่กำหนด RCBO จะตัดวงจรทันทีเพื่อป้องกันไฟรั่ว

  1. การป้องกันไฟรั่ว (Earth Leakage Protection)
    RCBO จะตรวจจับความแตกต่างของกระแสระหว่างสายไฟ (Live) และสายศูนย์ (Neutral) ถ้ากระแสที่ไหลเข้าและไหลออกไม่เท่ากัน เช่น มีไฟรั่วลงดิน (Earth Leakage) rcbo breaker จะตัดไฟทันทีเพื่อป้องกันอันตราย
  2. การป้องกันกระแสเกิน (Overcurrent Protection)
    RCBO ยังทำงานเหมือน MCB (Miniature Circuit Breaker) ในการป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและโหลดเกิน โดยใช้ 2 กลไกหลัก:
  • ไฟฟ้าลัดวงจร (Short Circuit Protection) ใช้ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Trip Coil) เพื่อตรวจจับกระแสไฟที่สูงผิดปกติ และสั่งตัดวงจรอย่างรวดเร็ว
  • โหลดเกิน (Overload Protection) ใช้แถบโลหะสองชนิด (Bimetallic Strip) ที่จะงอเมื่อได้รับความร้อนจากกระแสไฟที่สูงเกินไป ทำให้เบรกเกอร์ตัดวงจรโดยอัตโนมัติ

สรุปง่าย ๆ RCBO = MCB + RCCB ในตัวเดียว ป้องกันได้ทั้งไฟรั่ว ไฟช็อต และโหลดเกิน ทำให้ปลอดภัยขึ้นในระบบไฟฟ้าของคุณ

ข้อดีและข้อเสียของ RCBO

RCBO มีข้อดีหลายประการ ดังนี้ 

  • ให้การป้องกันที่ครอบคลุมต่อกระแสไฟรั่วลงดิน, กระแสเกินพิกัด และการลัดวงจรในอุปกรณ์เดียว
  • ให้ความปลอดภัยที่สูงขึ้นสำหรับทั้งบุคคลและอุปกรณ์
  • สามารถประหยัดพื้นที่ในแผงควบคุมไฟฟ้าได้เมื่อเทียบกับการใช้ RCCB และ MCB แยกกัน
  • ลดเวลาในการติดตั้งและความซับซ้อนในการเดินสาย
  • ช่วยให้สามารถตัดวงจรเฉพาะจุดได้มากขึ้น หากเกิดความผิดปกติในวงจรหนึ่งที่ป้องกันโดย RCBO จะไม่ส่งผลกระทบต่อวงจรอื่นๆ (หากแต่ละวงจรมี RCBO เป็นของตัวเอง)

ข้อได้เปรียบที่สำคัญของ RCBO คือความสามารถในการป้องกันแบบครบวงจร ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนในการออกแบบและการติดตั้ง พร้อมทั้งให้ระดับความปลอดภัยที่สูงขึ้น ทำให้เป็นตัวเลือกที่ต้องการในการติดตั้งระบบไฟฟ้าสมัยใหม่

การใช้งานทั่วไปของเบรกเกอร์ RCBO

  • การใช้งานในบ้าน ป้องกันวงจรเฉพาะสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบไฟส่องสว่าง, เครื่องทำความร้อน และบริเวณภายนอก
  • อาคารพาณิชย์และอาคารสาธารณะ ป้องกันวงจรสำหรับคอมพิวเตอร์, เซิร์ฟเวอร์, ระบบไฟส่องสว่าง, ระบบปรับอากาศ, โรงเรียน และโรงพยาบาล
  • สภาพแวดล้อมเฉพาะทาง ศูนย์ข้อมูล, การใช้งานทางทะเล และการตั้งค่าทางอุตสาหกรรมที่มีอุปกรณ์ที่ละเอียดอ่อนและความต้องการพลังงานสูง
  • วงจรที่ต้องการพลังงานต่อเนื่อง (เช่น ตู้เย็น, ระบบเตือนภัย) เนื่องจากความผิดปกติในวงจรอื่นจะไม่ทำให้เกิดการตัดวงจร

RCBO ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการป้องกันที่ครอบคลุม ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งทั้งการป้องกันกระแสไฟรั่วลงดินและการป้องกันกระแสเกินมีความจำเป็นต่อความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของอุปกรณ์

สรุปความแตกต่างของ rccb กับ rcbo

คุณสมบัติ

RCCB RCBO

ขอบเขตการป้องกัน

ป้องกันกระแสไฟรั่วลงดินเท่านั้น

ป้องกันกระแสไฟรั่วลงดิน, กระแสเกินพิกัด, และการลัดวงจร

การป้องกันกระแสเกิน

ไม่มีในตัว

มีในตัว (ฟังก์ชัน MCB)

ต้นทุนเริ่มต้น

โดยทั่วไปต่ำกว่า

โดยทั่วไปสูงกว่า

พื้นที่ติดตั้ง

โดยทั่วไปน้อยกว่า

อาจมากกว่าเล็กน้อย

ความยุ่งยากในการเดินสาย

ต้องใช้ MCB แยกสำหรับการป้องกันกระแสเกิน

ลดความยุ่งยากในการเดินสายเนื่องจากรวมฟังก์ชันไว้ในตัวเดียว

เวลาตัดวงจร (กระแสเกิน)

ขึ้นอยู่กับ MCB ภายนอก

อาจเร็วกว่าเนื่องจากส่วนประกอบที่เข้ากัน

ความซับซ้อน เรียบง่ายกว่า

ซับซ้อนกว่าเนื่องจากรวมฟังก์ชัน

 

RCCB ให้การป้องกันกระแสไฟรั่วลงดินเท่านั้น ในขณะที่ RCBO ให้การป้องกันที่ครอบคลุมกว่า โดยรวมถึงการป้องกันกระแสเกินและการลัดวงจรด้วย โดยทั่วไป RCBO จะมีราคาสูงกว่า RCCB และอาจต้องการพื้นที่ติดตั้งมากกว่าเล็กน้อย 

อย่างไรก็ตาม RCBO สามารถลดความยุ่งยากในการเดินสายได้เนื่องจากรวมฟังก์ชันของอุปกรณ์สองอย่างไว้ในหน่วยเดียว นอกจากนี้ RCBO อาจมีเวลาในการตัดวงจรที่เร็วกว่าสำหรับสภาวะกระแสเกินเนื่องจากส่วนประกอบ MCB ที่จับคู่กัน ในแง่ของความซับซ้อน RCBO มีความซับซ้อนมากกว่าเนื่องจากมีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายกว่า 

@chintbysangchaigroup

ว่าด้วยเรื่องของ ประเภทเบรกเกอร์กันดูด ⚡ #CHINT#ช่างไฟฟ้า#วิศวกร#โรงงาน#ไฟฟ้า#วัสดุศาสตร์#เบรกเกอร์#ลูกย่อย#ตู้ไฟฟ้าเบรกเกอร์กันดูด

♬ เสียงต้นฉบับ – CHINT by Sangchai Group – CHINT by Sangchai Group

สรุป

RCCB กับ RCBO เป็นเบรกเกอร์กันดูดยอดนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยจากการเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่า RCBO สามารถป้องกันได้ทั้งไฟรั่ว (Residual Current) และกระแสเกิน (Overcurrent) ในขณะที่ RCCB ป้องกันได้แค่ไฟรั่วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้งานเบรกเกอร์ไม่ควรพิจารณาเพียงแค่ฟังก์ชันการทำงานเท่านั้น แต่ควรคำนึงถึง งบประมาณ, ระบบไฟที่มีอยู่ และความต้องการของแต่ละพื้นที่

 

หากต้องการเบรกเกอร์คุณภาพสูง CHINT เป็นแบรนด์ชั้นนำที่ควรพิจารณา โดยเฉพาะ CHINT NXBLE Series ซึ่งเป็น RCBO ที่มีให้เลือกหลายรุ่น หลายขนาด พร้อมความทนทานที่เชื่อถือได้ สนใจเลือกซื้อ RCBO จาก CHINT สามารถดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม และเลือกให้เหมาะสมกับระบบไฟฟ้าของคุณ

 

ข้อมูลอ้างอิง : https://www.chintglobal.com/global/en/about-us/news-center/blog/rcbo-vs-rccb-what-are-the-differences.html 

https://www.chintglobal.com/global/en/about-us/news-center/blog/rcbo-function-application.html 

https://www.chintglobal.com/global/en/about-us/news-center/blog/residual-current-circuit-breakers-rccb-working-principle.html

สนใจขอใบเสนอราคา